การเกิดฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า
การเกิดฟ้าแลบ โดยเกิดขึ้นพร้อมกับฟ้าร้อง แต่มนุษย์เรามองเห็นฟ้าแลบก่อนได้ยินเสียงฟ้าร้อง เนื่องจากแสงเดินทางเร็วกว่าเสียง (แสงมีอัตราเร็ว 300,000 กิโลเมตร/วินาที ส่วนเสียงมีอัตราเร็ว 1/3 ของแสง) ประกายไฟฟ้าของฟ้าแลบ 1 ครั้ง มีปริมาณไฟฟ้าจำนวนสูงถึง 200,000 แอมแปร์ และมีความต่างศักย์ถึง 30 ล้านโวลต์ ฟ้าแลบเกิดจากประจุไฟฟ้าเคลื่อนที่จากก้อนเมฆสู่ก้อนเมฆ จากก้อนเมฆสู่พื้นดิน โดยมีขั้นตอนคือ ประจุไฟฟ้าที่เคลื่อนที่ถ่ายเทในก้อนเมฆมีการเคลื่อนที่หลุดออกมาและถ่ายเทสู่อาคารสิ่งก่อสร้าง หรือต้นไม้สูงบนพื้นดิน เหตุการณ์เหล่านี้ใช้เวลาน้อยกว่า 1 วินาที และเกิดเป็นแสงของฟ้าแลบ ซึ่งบางครั้งลำแสงมีความยาวถึง 60 - 90 เมตร
การเกิดฟ้าร้อง เนื่องจากประกายไฟฟ้าของฟ้าแลบทำให้อากาศในบริเวณนั้นมีอุณหภูมิสูงขึ้นถึงประมาณ 25,000 องศาเซลเซียส อย่างเฉียบพลัน มีผลทำให้อากาศมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วและรุนแรง ทำให้เกิดเสียง "ฟ้าร้อง" เนื่องจากฟ้าร้องและฟ้าแลบเกิดขึ้นพร้อมกัน ดังนั้นเมื่อเรามองเห็นฟ้าแลบ และนับจำนวนวินาทีต่อไปจนกว่าจะได้ยินเสียงฟ้าร้อง เช่น ถ้านับได้ 3 วินาที แสดงว่าฟ้าแลบอยู่ห่างจากเราไปประมาณ 1 เมตร และสาเหตุที่เราได้ยินเสียงฟ้าร้องครวญครางอย่างต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากมีสาเหตุมาจากการเดินทางของเสียงมีความต่างกันในเรื่องของระยะเวลาและระยะทางที่คาบเกี่ยวกันนั่นเอง

การเกิดฟ้าผ่า เป็นปรากฏการควบคู่กันกับฟ้าแลบ และฟ้าร้อง เนื่องจากประจุไฟฟ้าได้มีการหลุดออกมาจากกลุ่มเมฆฝน และถ่ายเทลงสู่พื้นดิน ต้นไม้ อาคารหรือสิ่งก่อสร้าง ตลอดจนสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ฟ้าผ่าอาจก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ เนื่องจากมีพลังงานไฟฟ้าสูง ความรุนแรงของกระแสไฟฟ้าจากฟ้าผ่าเพียงพอที่จะจุดหลอดไฟฟ้าขนาด 60 แรงเทียนให้สว่างได้ถึงจำนวน 600,000 ดวง เลยทีเดียว
แหล่งอ้างอิง
วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2556
การเกิดฟ้าแลบ น่ากลัวที่สุดเลย
ตอบลบอ๋อ มันเป็นงี้นี้เอง
ตอบลบความรู้ใกล้ตัวเรย
ตอบลบมันน่ากลัวจิงๆ
ตอบลบเนื้อหาดี มีประโยชน์มากค่ะ
ตอบลบเป็น bloggerที่ดี
ตอบลบความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบการที่เกิดฟ้าผ่า ลงในสิ่งก่อสร้างเกิดจากการที่มีความต่างศักย์ทางไฟฟ้าที่ต่างกัน การที่ฟ้าผ่าส่วนมากจะผ่าโดนตึก หรืออะไรที่มีความสูงเพราะมีระยะทางการเดินทางใกล้กว่า เนื่องจากถ้าผ่าลงเสาไฟฟ้าความต้านทานในการไหลของกระแสก่อจะไหลง่ายเนื่องจากมีขดลวดภายในเสาเป็นลวดรับแรงดึงอยู่ แต่ถ้าเทียบกับการผ่าลงดินธรรมดาซึ่งเป็นที่ต่ำจะทำให้มีความต้านทานในการไหลยากมากเนื่องจากต้องผ่านอากาศซึ่งมีความต้านทานมากถึงแม้อยู่ในสภาวะที่ชื้นก่อยังมีความต้านทานมากอยุ่ ผมได้อ่านข้อความนี้แล้วนึกถึงเวลาที่ผมทำงาน ผมทำงานที่การไฟฟ้าส่วนภูมิกาค และทำงานกับกระแสไฟแรงสูงแบบไม่ดับไฟเมื่อเวลาฝนตกอุปกรณ์ในการปฏิบัติงานจะมีค่าความต้านทานลดลงไปมาก เนื่องจากความชื้นและหยดน้ำ และเมื่อฝืนทำต่ออาจเกิดอันตรายได้เนื่องจากอุปกรณ์มีความต้านทานลดลง และเกิดอันตรายจากฟ้าผ่าเพราะเมื่อเกิดฟ้าผ่าจะทำให้เกิดต่างศักย์ที่มาก และถ้ามีความต่างศักย์มากอุปกรณ์ป้องกันก่อจะทนไม่ไหวจนทำให้เกิดการเฉลี่ยของความต่างศักย์ที่เกิดขึ้นจากฟ้าผ่าไหลลงกระจายลงเสาหรือลงกราวด์จนเฉลี่ยๆกันหลายต้น อีกอย่างเคยมีเคสกรณีศึกษาว่าทำไมฟ้าผ่าลงต้นไม้ทำให้ควายทีอยู่ใกล้ๆนันตาย เพราว่าเมื่อฟ้าผ่ามากระแสก่อจะไหลลงดิน แต่ความตัวนั้นมีความยาวระหว่างขาหน้าและขาหลังมากทำให้กระแสที่เกินมากๆนั้นเดินทางผ่านขาหน้าและขาหลังทำให้ควายตาย การเกิดปรากฏการนี้เรียก step voltage หรือความต่างศักย์ระหว่างช่วงๆหนึ่ง ทำให้ที่สถานีไฟฟ้าตรงที่มีการรับจ่ายกระแสไฟฟ้าที่ล้อมรั่วมีหินเป็นก้อนเทเต็มไปหมดเพื่อลงการเกิดสเตปvoltageนี่เอง ทั้งนี้สังเกตดูตึกสูงๆๆหรือบนเสาไฟฟ้าจะมีแท็งเหล็กไว้เป้นตัวล่อฟ้าให้ไหลลงดินหรือลงกราวด์เพื่อการป้องกันครับ
ลบเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวและมีประโยชน์มากคะ
ตอบลบ